วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

กิจกรรมที่ทำให้ชีวิตยืนยาว





เฮ้อ.............อิอิ มีเรื่องอยากเล่าน่ะค่ะ
ผู้เขียน: ฝนตกแบบนี้จะออกไปยังไงล่ะเนี้ย
เพื่อน
:  แกจะออกไปไหน
ผู้เขียน
: ออกไปเรียนไง..............
เพื่อน
: ฮึ ฮึ  ฝันอยู่ แล้วเดินออกมาหรอจร้า........
ผู้เขียน
: ทำไมหรอ
เพื่อน
:  วันนี้ไม่มีเรียน  น่ะ  อิอิ
ผู้เขียน
:  ห๊ะ  อะไรน่ะ  ไม่มีเรียน  
ไม่มีเรียน.................
จะว่าดีก็ไม่ดี  เรื่องไ ม่มีเรียน เนี้ย  แต่ก็น่าโชคดีที่วันนี้ฝนตกหนัก น่าจะตกทั้งวันเลยแหละ(ก็ตกแบบนี้มาตั้งหลายวันแล้วนี่) เราจะไปกำหนดกฎเกณอะไรได้เรื่องฟ้า เรื่องฝนรักษาตัวให้แข็งแรง  ไม่เป็นไข้  ก็บุญแล้ว  หุ หุ  ถ้าอย่างนั้นวันนี้มาหาวิธีทำให้ชีวิตยืนยาวดีกว่า  อิอิ
ไม่ต้องหา  เขาเอามาฝากแล้วน่ะค่ะ

                เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ใครหลาย ๆ คนอาจจะคิดไม่ถึง หรือไม่ให้ความสำคัญกับมัน แต่จริง ๆ แล้ว กิจกรรมเหล่านี้ กลับทำให้ชีวิตของเรายืนยาวขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ

1. รับประทานอาหารเช้าทุกวัน : เพราะอาหารมื้อนี้เองแหละ ที่ช่วยกระตุ้นอัตราเมตาบอลิซึ่มให้เผาผลาญ แคลอรี่ตลอดทั้งวัน ใครที่เคยคิด งดอาหารเช้าเพื่อลดความอ้วน ก็ขอให้ทราบว่าคิดผิดนะคะ เพราะอาหารเช้านี่แหละที่จะทำให้เราไม่อ้วนจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้อีกด้วยค่ะ

2. นอนหลับให้สนิท : อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น เซลร่างกายสร้างตัวได้ดีขึ้น สมองสดใส และน้ำหนักลดลงได้

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ : สัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20 นาที จะทำให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น เพื่อความยืดหนุ่นข้อต่อร่างกาย และลดอาการกระดูกพรุนเมื่อวัยทองได้อีกด้วย
4. ทานน้ำมันตับปลา : กรดไขมัน โอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอลได้ด้วย หรืออาจจะทานเนื้อปลาที่มีไขมันสัก 3 มื้อต่อสัปดาห์ อย่างเช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปลาซาร์ดีน ทำให้เราอิ่มแบบไม่อ้วนค่ะ

5. ทำสมาธิ : จะช่วยลดความเครียด ลดความดันเลือด เวลากำหนดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยังช่วยให้อ๊อกซิเจนเข้าปอดได้อย่างเต็มที่


6. หัวเราะ : ความรู้สึกดี ๆ จะมีมา และร่างกายของเรายังหลั่งสารเอนดอรืฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมาด้วย ความเครียด ความกังวลจะลดลงได้
7. แปรงฟันและขัดฟันทุกวัน ลดแบคทีเรียในช่องปาก สุขภาพจะดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
8. ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ : อย่างเช่นผัก ผลไม้ ทั้งยังลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งด้วย
9. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันละ 1 แก้ว แค่พอกระตุ้นหัวใจให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น ถ้าจะให้ดีควรเป็นไวน์แดง
(เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำเปล่าแทนแล้วกัน ประหยัดกว่ากันเยอะ เลยค่ะ)

10. ดื่มชา : ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งลดความเสี่ยงโรคหัวใจด้วย 



ข้อมูลดีๆ จาก   www.blogger.com/blogger.g?blogID=7752771739550316312#editor/target=post;postID=8695946728399400328

7 Stars Sataporn Fantasy กับเทคนิคการเขียนที่อยากบอกต่อ



7 Stars Sataporn Fantasy กับเทคนิคการเขียนที่อยากบอกต่อ
เขาบอกต่อมาเราเลยเอามาขยายความต่อ เจ้าค่ะ............................................:D
การสร้างแรงบันดาลใจ ในแบบของกัลฐิดา
ในความคิดของกัล แรงบันดาลใจเกิดได้ 2 แบบ
แบบที่เกิดขึ้นเอง อันนี้บอกไม่ได้จริงๆ ว่ามันจะสร้างแบบไหน มันเกิดขึ้นเอง เหมือนที่เซอร์ไอซ์แสค นิวตันสงสัยว่าทำไม แอปเปิ้ลถึงไม่ลอยไปบนฟ้าแต่ตกลงมาบนพื้น บางครั้ง เรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต หรือบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นหลายครั้ง บอกไม่ได้ค่ะ
แบบที่เราสร้างขึ้นมา เกิดจากการสังเคราะห์จากประสบการณ์และการสังเกต วิธีการสร้างแรงบันดาลใจแบบนี้ จุดสำคัญ คือ คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ช่างสังเกตและตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ภาษาทางการศึกษาเขาเรียกว่า ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนมีความกระหายที่จะค้นหาความจริงหรืออยากรู้เรื่องราวให้ถ่องแท้ พอมีข้อมูลอยู่ในหัวมากๆ เข้า มาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ก็จะเกิด ยกตัวอย่างเช่น ช่างทำเก้าอี้ เก้าอี้มีมาแต่โบราณแล้ว แต่ในปัจุบันก็ยังมีการผลิตเก้าอี้แบบใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นเพราะเขาสังเคราะห์สิ่งเก่าผนวกกับความต้องการตอบสนองของผู้ใช้ เก้าอี้แบบใหม่ก็เผยโฉมออกมา เป็นต้น การเขียนนิยายก็เหมือนกัน


จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คำพูดนี้เป็นจริง เพราะ ความรู้เกิดจากการคิดค้นหาคำตอบว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวของเราอย่างไม่ทราบสาเหตุนี้ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อมีจินตนาการ กระบวนการความรู้ก็จะเกิด
ในโลกของนิยาย ผู้เขียนจินตนาการอยากให้ตัวเอกเป็นอะไร ก็เป็นความรับผิดชอบผู้เขียนที่จะค้นหาหนทางให้ตัวละครเหล่านั้นโลดแล่นใน โลกของเขาได้อย่างงดงาม นิยายคือโลกเสมือนจริง ดังนั้นถ้าเราเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง เราก็สร้างโลกแห่งนิยายได้
และนี่ก็คือ การสร้างแรงบันดาลใจของกัลนะคะ ในสัปดาห์นี้ เราก็จะได้พูดคุยกันกับ แสงจันทร์ เจ้าของนวนิยายแฟนตาซีที่โด่งดังเรื่อง The Last Fantasy Return ว่าเขามีวิธีการเขียนอย่างไรให้ผู้อ่านหลงใหลผลงานของเขา
Star ดวงที่ 2 แสงจันทร์
นักเขียนผู้ค้นหาฝันอย่างตั้งใจ

ใครเลยจะเชื่อว่า แสงจันทร์ เคยเป็นเด็กที่ไม่มีความฝันมาก่อน อยากจะทำหรืออยากจะเป็นอะไร ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของตัวเอง จนกระทั่งเขาได้มาพบกับการเขียนนิยายแฟนตาซี ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะ แสงจันทร์ ทำมันได้เป็นอย่างดี การเขียนจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวชีวิตของเขาต่อๆ มา และเมื่อบ่มเพาะความคิดได้ในระดับหนึ่งแล้ว ผลงานที่ชื่อว่า The Last Fantasy จึงถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางสายตานักอ่านหลายต่อหลายคน แถมผลงานที่ออกมาก็ยังได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านอีกมากมาย จากเด็กชายที่ไม่มีความฝัน ได้พลิกผันตัวเองให้กลายมาเป็นนักเขียนนิยายแฟนตาซีชื่อดัง เขาทำมันได้อย่างไร
นิยายแฟนตาซีผมว่ามันมีเสน่ห์นะ เพราะสำหรับผมแล้ว ถ้าเป็นนิยายอย่างประเภทรักโรแมนติก ก็จะเขียนได้แต่เรื่องราวของความรักเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นนิยายแฟนตาซีแล้ว ถ้าเกิดอยากได้บทหรือเรื่องราวเกี่ยวกับความรักขึ้นมา ก็สามารถเขียนเสริมหรือแทรกเข้าไปจากบริบทที่มีภายในเรื่องได้เลย ฉะนั้นนิยายแฟนตาซีจึงมีเสน่ห์ตรงที่ไม่โดนบีบบังคับมากว่า จะต้องเป็นไปในแนวทางไหน เพราะความเป็นแฟนตาซีค่อนข้างที่จะอิสระในเรื่องของความคิดและการทำงานมากพอ สมควร
ฉะนั้นผมว่าโลกแฟนตาซีของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน อย่างโลกแฟนตาซีของผมก็ไม่มีขอบเขตอะไรตายตัวและดูกว้างๆ ไกลๆ สุดลูกหูลูกตาอยู่ ส่วนของบางคนอาจจะเป็นเหลี่ยมนิดๆ บางคนอาจจะทู่ๆ แบนๆ ก็ได้ แล้วแต่คนจะคิด ซึ่งโลกของแต่ละคนย่อมไม่มีทางเหมือนกันแน่นอน แต่โลกแฟนตาซีของผมนั้นมีข้อสำคัญอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ต้องเป็นโลกที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริง โดยเป็นอะไรที่จับต้องได้ และค่อยเพิ่มเติมสีสันเข้ามา เพื่อให้ดูเป็นแฟนตาซีมากขึ้น อย่างเรื่องของผมก็จะมีการเติมเวทมนตร์ทางจิตเข้าไปด้วย ทำให้โลกแฟนตาซีของผมมีสีสันมากขึ้น
เวลาเขียนนิยายแฟนตาซี หลายคนมักเข้าถามผมว่า จำเป็นไหมที่จะต้องคิด ดู หรืออ่านเยอะ ผมว่าแล้วแต่สไตล์ของแต่ละคนเลยครับ เพราะถ้าเป็นนักเขียนที่มีความรู้พอประมาณอย่างผม ผมจะกระโดดเข้าใส่เหมือนสัตว์ป่าเลย คือแต่งตามความรู้สึกที่มี ฉะนั้นไม่จำเป็นหรอกครับที่จะต้องแต่งตามหน้ากระดาษเหมือนกับชาวบ้านเขา เราแต่งตามที่คิดและบรรยายออกมาในแบบของตัวเองก็พอ โดยการเขียนของตัวเองส่วนใหญ่ก็จะใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นหลัก เรียกว่าไม่คิดอะไรเลยก็ได้ คือหมายถึงคิดอะไรได้ก็แต่งและเขียนออกมาแบบนั้น เหมือนกับศิลปิน นักแต่งเพลง ที่ไม่มีใครมากระซิบก่อนว่า เนื้อร้องท่อนต่อไปจะเป็นอย่างไร เขียนตามอารมณ์พาไปล้วนๆ
ส่วนเรื่องแผนการเขียน มันเป็นจุดที่ต้องมีอยู่แล้วครับ เรื่องของความกลมกล่อมหรือกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน แต่จะให้กลมกลืนได้ทั้งหมดนั้น ผมว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะอย่างที่เคยไปสัมมนาเรื่องของการเขียน แล้วมีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกมาว่า การแต่งนิยายสักเรื่อง มันต้องมีช่วงจังหวะขึ้นลงบ้าง ไม่ใช่เป็นเส้นตรงราบเรียบเพียงอย่างเดียว ซึ่งตอนกราฟลงนี่แหละคือตอนที่เราผิดพลาด เป็นจุดที่หาความกลมกลืนได้ยากกับเนื้อเรื่อง แต่ก็อย่าลืมว่า เมื่อมีกราฟลง ก็ต้องมีกราฟขึ้นได้เหมือนกัน และเราสามารถใช้กราฟขึ้นนั้นมาดึงข้อเสียของเราให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะพอเมื่อตัวเองผิดพลาด และรู้ว่าผิดพลาดเพราะอะไร เราสามารถแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้อย่างทันท่วงที แต่ก็อย่าลืมอีกว่า ไม่มีเนื้อเรื่องไหนบนโลกหรอกที่จะกลมกลืนแบบที่นักเขียนคิดไว้เป๊ะๆ ทั้งหมด
นักเขียนทุกคนรวมทั้งผม อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ว่า สามารถนำทุกสิ่งรอบตัวและสภาพแวดล้อมรอบข้างทุกอย่างมาใช้ประโยชน์ในการ เขียนได้ อย่างข้อมูลที่ผมใช้ก็จะมาจากการวิเคราะห์ของตัวเอง อย่างเช่นดูหนังหรือข่าวสักเรื่องหนึ่ง เราก็จะคิดและวิเคราะห์ข้อมูลออกมา โดยนำมาย่อยและผสมรวมกัน กลายเป็นข้อมูลชุดใหม่เพื่อนำมาใช้ในการเขียน ซึ่งเราสามารถหยิบออกมาใช้ได้ตลอด เพราะคลุกเคล้าน้ำปลา บีบมะนาว และตำรวมกันให้ละเอียดเป็นอย่างดีแล้ว อาจมีปิดท้ายด้วยการเหยาะพริกไทยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับเรื่องที่ เขียนต่อไป หรืออย่างตัวละครก็เหมือนกัน บางทีไปพบเจอเพื่อนคนหนึ่งมา แล้วไม่ชอบนิสัยของเขาเลย เราก็สามารถนำนิสัยของเขามาใช้เป็นต้นแบบของตัวละครได้ ฉะนั้นผมว่าข้อมูลมีอยู่ทุกที่ครับ แล้วแต่คนจะมองเห็นและนำไปใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
ดังนั้นแล้ว น้องใหม่ที่อยากจะขึ้นมาเป็นนักเขียน ขอร้องเลยครับว่า อย่าเป็นนักเขียนเพียงเพราะฝันอยากที่จะเป็น แต่ต้องรักที่จะเป็น เพราะสังเกตว่ามีนักเขียนหลายคนมาสักพักแล้วก็หายไป พอถึงจุดพอใจก็เลิกไปและไม่เขียนขึ้นมาอีก ผมว่ามันไม่ใช่ครับ เนื่องจากงานนักเขียนเป็นงานที่จะต้องเขียนอยู่เรื่อยๆ คือก้าวต่อไปแบบไม่หยุดพัก เพราะพอหยุดพักปั๊บ โดนเหยียบหัวแตกได้ง่ายๆ เลย ดังนั้นต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ และพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงจะอยู่ในวงการนี้ได้อย่างยาวนานครับ
ความรักและความตั้งใจ ผสมกับการลงมือทำ ย่อมทำให้ความฝันสำเร็จอย่างแน่นอน
แสงจันทร์ ได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ให้กับนักเขียนหน้าใหม่ทุกคน
คราวหน้าพบกับ เจ้าของผลงานเลื่องชื่ออย่าง ยุทธภพออนไลน์
กับนักเขียนนามปากกาสุดเก๋ว่า ปากกาแดงดำแล้วพบกัน





มีแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เอ๋ย.................................
(โปรโมทให้เขาเต็มที่เลย อิอิ   อย่าลืมหาอ่านกันน่ะค่ะ  )
 




ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก  http://www.dek-d.com/writer/32867/